สัปดาห์ก่อนผมได้ไปเยี่ยมบ้านรู้จักที่ถูกน้ำท่วม เห็นแล้วให้ต้องตกใจต่อความเสียหายที่แต่ละคนได้รับ โดยคนที่ไม่โดนน้ำท่วมอย่างเราไม่รู้ เพราะในสายตาผม คนที่ต้องมาซ่อมบ้าน นั้นยากลำบากมากยิ่งกว่าสร้างใหม่ แล้วยังต้องเสี่ยงภัยติดโรคร้าย เช่นเชื่อรา น่าอันตรายยิ่ง
แต่ที่ได้ยินจากมติค.ร.ม.ดังก้องหูคือ อนุมัติและให้เร่งจ่ายเงินเดือนคนจบใหม่ให้ได้รับอัตราต่ำสุด 15,000.บาท ต่อเดือน ขณะที่ชาวบ้านธรรมดากลับกำลังโดนราคาน้ำมันใหม่ที่เก็บเข้ากองทุนเพิ่ม ทั้งๆที่ราตาข้าวของกินของใช้แพงขึ้นมากมาย
แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับ สิ่งที่ได้ยื่นคำร้องเรียนฝากมา นั่นคือ เงินช่วยเหลือค่าเสียหายจากน้ำท่วม 5,000.-บาท ซึ่งจ่ายชักช้าและยังไมได้รับเพราะ เจ้าหน้าที่ยังเรียกหาหลักฐานกับบ้านรวมถึงภาพถ่ายด้วย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ การได้แก้ไขซ่อมแซมบ้าน ซึ่งเงินห้าพันนั้น แทบจะทำอะไรไมได้เลย ไม่พอแม้แต่กับการสร้างห้องน้ำใหม่ด้วยซ้ำ แต่ที่น่าเจ็บใจคือ บ้านซึ่งเป็นปัจจัย 4 สำคัญยิ่ง ต้องใช้เงินซ่อมมากและเสี่ยงต่อการติดโรค แล้วยังใช้เวลานานด้วย
ดังนี้ ความรุนแรงถึง 3 ต่อ คือ ก) ถาวรวัตถุ คือ บ้าน ข) จิตใจ ที่จะมีกำลังใจฟื้นสภาพ กับ ค) ความปลอดภัยจากความเสี่ยงต่อโรคร้าย แต่เงินเพียง 5 พับบาทเทียบได้เท่ากับเงินขวัญถุงเท่านั้น กลับชักช้ายังไม่ถึงชาวบ้าน ทั้งนี้ไม่อยากจะต่อว่าสูงถึงตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่ด้วยเหตุสภาพความเป็นจริงปรากฏชัด
สะท้อนว่า คุณเธออ่อนประสบการณ์ ดังนามที่ผมเรียกว่า “แคสเปอร์” หรือ” ผีน้อย ผู้น่ารัก” ซึ่งลอยไปมา ไม่น่ากลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน หนักเบาอย่างไร ต้องเร่งแก้ตรงไหน หรือ ด้วยเพราะตนอยู่บ้านหลังใหญ่ จึงมัวไปเร่งทำสิ่งที่เป็นประชานิยม เกี่ยวข้องกับเสียงคนรุ่นใหม่ ซึ่งหารู้ไม่ว่าการทำผิดทางเช่นนั้น นอกจากจะเสียคะแนนกับครอบครัวที่ถูกน้ำท่วมเสียหายแล้ว ยังถูกบุคลากรอาชีพต่างๆทั้งที่ถูกน้ำท่วมและไม่ท่วมต่างเกลียดชังไปตามๆกัน เพราะแม้บางคนไม่โดนน้ำท่วม แต่ก็ต้องมาป่วยไข้กันมากมาย กว่าที่จะคำเตือนออกมาถึงชาวบ้าน
ข้อดีมีอย่างเดียวคือ การมีคำเตือนให้ระวังเรื่องติดเชื้อโรคจากราต่างๆที่มองไม่เห็นหลังน้ำท่วม แต่ผู้ที่เสียหายโกรธกันมากคือ ความชักช้าในการจ่ายเงินช่วยเหลือ 5 พันบาท แล้วยังมัวแต่ไปเอาใจคนจบใหม่ให้ได้รับเงินเดือนอัตราใหม่
เท่ากับการไปหยามคนเก่าที่ทุ่มเททำงานหนักอยู่ ให้รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม กับเท่ากับการมองข้ามและดูแคลนว่า นั่นคือ “กรรมเก่าของคนแก่” ซึ่งการทำแบบนี้รับรองว่า ผลเสียหายใหญ่กว่าที่นามนายกฯ แคสเปอร์ จะคิดได้
ในวันนี้อยากขอเขียนถึงเรื่องที่เบาๆคือ การขึ้นเงินเดือนคนจบใหม่ให้ได้รับ 15,000.บาท ก่อน เพราะ เกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวเข้างานใหม่ ซึ่งรัฐบาลไม่น่าจะกระทบต่อคนหมู่มาก ซึ่งเข้าใจผิดสิ้นเชิง เพราะ ขณะที่คนจบใหม่มีไม่มากคนนักได้รับเงินสูงขึ้นนั้นเอง
แต่กลับต้องถูกข้าราชการเก่าและพนักงานสูงอายุ กับมากประสบการณ์เกลียดชัง ที่ทำผิดหลัก “ความยุติธรรม” ไม่ต่างกับการถูกตบหน้ากลายๆ ความรู้สึกนี้สัมผัสได้ไม่ยาก อยากรู้ลองแวะถามพยาบาลหรือคนทำงานประจำด้านเทคนิคและบริการทั้งหลายว่า รู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้
ต่อเรื่อง “เงินเดือนคนจบใหม่” นี้ ที่ผิดพลาดแน่ๆ เพราะ ผิดหลักตามแม่บท การบริหารค่าจ้างเงินเดือน ซึ่งแม้จะไม่ผิดที่ได้คิดถึงความจริงค่าครองชีพที่แพงขึ้นมาก จึงคิดให้เป็นอัตราใหม่แรกเริ่ม 15,000.- บาท ซึ่งไม่กระทบงบประมาณมากนักก็ตาม
แต่การขึ้นให้กับคนเข้าใหม่ที่เป็นกลุ่มไม่ใหญ่นักและไม่เคยเสียสละทำงาน ย่อมเป็นผลเสียเกิดเป็นผลกระทบกว้างไปถึงระดับชาติทีเดียว
ความผิดพลาดนี้สะท้อนว่า การคิดทำอะไรง่ายๆ หากไม่ทำให้รอบคอบเป็นระบบแล้ว จะก่อความเสียหายได้มากมหาศาล ด้วยเพราะ การทำผิดในข้อต่างๆต่อไปนี้
ก) การขาดความยุติธรรม คือ เป็นการก่อความไม่เท่าเทียมให้เกิดขึ้นต่อกันในการแก้ปัญหา กล่าวคือ ถ้าจะให้เป็นธรรม พนักงานคิดว่าต้องเพิ่มให้ทุกคน(ทั้งพนักงานเก่าและจบใหม่) อย่างเท่าเทียมกัน
ดังนั้นการจำกัดขึ้นให้กับคนจบใหม่เท่านั้น จึงก่อปัญหาไม่เป็นธรรมกับคนที่อยู่มาก่อน ทั้งจะทำให้คนเข้าใหม่ตามทัน หรือแซงหน้าคนเก่าขึ้นไปได้
ข) ผิดหลักบริหารสำคัญ ที่ไม่เป็นไปตามเหตุผลกับความเป็นจริง ซึ่งความไม่เสมอภาคมีเหตุผลเท่าเทียมกันนี้ แท้จริงแล้ว จะไม่ได้หมายความว่า จะต้องทำให้ได้ค่าตอบแทนเท่ากัน หรือ ทุกฝ่ายน่าจะใช้หลักประนีประนอมกันได้
แต่หลักการจัดการนั้น ถือว่า “ผู้บริหารทุกคนจะต้องทำการบริหารอย่างแตกต่างเป็นไปตามความเป็นจริงที่ต่างกันอยู่ หรือ ที่เรียกว่า Manage Different นั้น หาใช่การจัดให้เท่ากันเท่านั้น โดยแท้จริง ความเป็นธรรมที่พนักงานจะยอมรับคือ “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” นั่นคือคนที่ทำมากกว่า ดีกว่า หรือทำงานที่ยากกว่านั้น ฝ่ายบริหารจะต้องมีการรับรู้ถึงความแตกต่างที่เป็นอยู่ให้ปรากฏชัดออกมา กับต้องให้ได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าด้วย
นั่นคือ หลักสำคัญของการให้เกิดการยอมรัยในความถูกต้อง และมีความยุติธรรม ในบรรดาคนที่อยู่ร่วมกัน
หลักการข้อนี้สำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของ “การวิเคราะห์ค่างาน” เพื่อให้เทียบกันได้ กับใช้ในการกำหนดอัตราเงินเดือนอย่างมีหลักเกณฑ์ ซึ่งเมื่อนำเกณฑ์ที่ว่าไปใช้กับทุกกลุ่ม ความชัดเจน ถูกต้องและเป็นธรรมจะเกิดขึ้น ตามด้วยการยอมรับและใช้ได้ทั้งระบบ ดังนี้ ถ้ามีการปรับขึ้นให้คนใหม่เท่าไหร่ ก็ต้องขึ้นให้คนเก่าเท่ากัน ด้วยเหตุผลว่า เป็นคนที่ต้องอยู่ต้องกินเหมือนกันซึ่งแม้จะยังไม่ชัดนัก แต่ก็ยังพออนุโอมยอมรับในความยุติธรรมเท่าเทียมกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว น่าจะต้องปรับขึ้นให้กับคนเก่า ที่ได้ทนทำงาน ฝากผีฝากไข้ กับช่วยให้กิจการเติบโตมาได้ถึงวันนี้ จึงสมควรได้รับรางวัลในคุณความดีนี้มากกว่าคนเข้าใหม่ จึงจะถูกต้อง
จากเหตุข้อนี้เอง การให้เพิ่มแก่คนจบใหม่ (แรกเข้า) มากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นการรับรู้ถึงปัญหาที่สะสมค้างมาจากอดีตที่โยงไปถึงอนาคต คือ การครองชีพที่สูงขึ้นจากความเจริญของโลกระบบเศรษฐกิจใหม่ จึงต้องปรับอัตราเริ่มแรกให้
แต่ข้อโต้แย้งคือ คนเก่า ที่ทำงานมาก่อน ในสภาพขาดเครื่องทุ่นแรงกับต้องเหนื่อยอ่อนมานานปี มีภาระครอบครัวและตัวเองมากขึ้น แล้วถึงวันนี้ก็ถูกกระทบไม่ต่างจากคนจบใหม่ที่เข้ามา จึงสมควรได้รับการปรับให้มากเท่ากับการปรับให้คนจบใหม่อย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกันเป็นอย่างต่ำ ถ้าทำดังว่า จึงจะถือว่า มีความยุติธรรมบ้าง แม้จะไม่ถูกต้องเต็มร้อยก็ตาม
ค) จากการมองข้าม ไม่ทำตามข้อก)และข) นอกจากทำให้ผู้บริหารขาดความชอบธรรมแล้ว ยังสร้างความไม่พอใจกับทำให้ขวัญกำลังใจพนักงานตกต่ำ และการข้ามขั้นไปทำการขึ้นให้คนใหม่ นอกจากเป็นการไม่ให้คุณค่าความสำคัญกับคนเก่าแล้ว ยังเป็นการดูถูกคนเก่าที่ได้เสียสละมาก่อน ทั้งยัง ก่อปัญหาทิ้งไว้ในระบบ ทำให้คล้ายให้คนใหม่ “เหยียบตีน” คนเก่า พร้อมกับเตรียมเขย่งตัวเดินแซงหน้าล้ำเส้นคนเก่าได้ง่ายขึ้น
ง) สำคัญที่สุดคือ ในสภาพปัจจุบัน ในระบบราชการที่ใหญ่กว่า กลับขาดระเบียบ โครงสร้างเกยไปมา มีปัญหาค่าตอบทแทนมากอยู่แล้ว การขึ้นเงินคนจบใหม่ จึงยิ่งเพิ่มแรงกระทบหนักข้อขึ้นไปอีก ดังเช่น การปรับโครงสร้างของราชการจนมีสภาพ “”บานตะไท” ทำให้องค์กรราชการ เป็นยักษ์ปักหลั่น กินเก่ง แต่ทำงานไม่คุ้มค่า ทั้งยังมีข้าราชการกลายพันธุ์เกิดขึ้นมากมาย โดยบางกลุ่ม เข้ามาปักหลักตั้งตัวหาประโยชน์จากหน่วยงาน หลวง และเพื่อนร่วมงาน กับเป็นบ่อเกิดการตั้งกลุ่ม “กีดดัน” มิให้คนนอกเข้ามา
ดังเช่น กลุ่มนักวิชาการ ที่ออกนอกระบบ และมีบางกลุ่มสร้างระบบผูกขาด และเพิ่มรายได้ตัวเอง การขยายชั่วโมงสอน จนบางคนถึงกับปักหลัก ตีตราจอง แล้วสร้างเครือข่ายเดินสาย บินร่อนสอนไปทั่วราชอาณาจักร
นี้เป็นต้นเหตุของที่มาของคำย่อว่า “จ่ายครบ จบแน่” กับ เป็นต้นเหตุทำให้เกิดระบบการสอนในระบบตู้อบแสงสว่าง ที่เรียนภาคค่ำกับวันหยุด โดยบีบย่อปฏิทินของพระเจ้าให้จบเร็วได้ด้วย ขณะที่ในองค์กรเดียวกัน พนักงานบริการต่างๆที่ช่วยเหลือสนับสนุน จนไปถึงนักการภารโรง ต้องทำงานนอกเวลา จนบางคนไม่เคยเห็นตะวันขึ้นและตกดินที่บ้านเลยก็มี ทั้งยังต้องให้บริการด้านเทคนิคเครื่องเสียง อุปกรณ์โสตต่างๆกับการจัดบริการจอดรถด้วย ซึ่งพนักงานกลุ่มที่ทำงานสนับสนุนอยู่เบื้องหลังคือ กลุ่มปฏิบัติการ บริการและดำเนินการเหล่านี้ ต้องกลายเป็น “ซินเดอเรลล่าได้รับเพียงค่าล่วงเวลาคอยถูพื้นทำงานหนักอยู่ที่ใต้ถุนบ้านเท่านั้น”
แต่สาเหตุใหญ่นั้นกลับอยู่ที่ระดับโครงสร้างและนโยบาย ที่ทำไปแบบเบี้ยหัวแตก แยกกระจายไปในก.พ. สำนักพัฒนาระบบราชการ (กพร.)กับ มหาวิทยาลัยและองค์กรอิสระทั้งหลาย การจะได้ดีมากหรือเป็นไปทางไหนอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับโชคว่า มีบุญกับกรรมเก่าที่ทำไว้ดีกว่ากันอย่างไร
กลุ่มคนที่ผมว่าต้องเห็นใจมากที่สุดคือ เงินเดือนคนเก่าของสายปฏิบัติการและบริการ เช่น พยาบาล กับพนักงานด้านเทคนิคการแพทย์ ห้องรังสี ต่างต้องติดไปกับระบบมหาวิทยาลัยในกำกับฯ ที่ออกนอกระบบ ทำให้พนักงานกลุ่มนี้ ต้องทำงานทุ่มเทเหนื่อยยากตามลักษณะงานและวิชาชีพ ทำให้ต้องทุ่มเททั้งกายและใจ กับทำงานโดยต้องเอาตัวเองเขาไปเกี่ยวข้องโดยตรง
เรื่องนี้ไม่ต่างกับ แพทย์ ที่นอกจากทำงานหนัก ยังต้องแบ่งเวลาคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก แต่ที่ทำให้ลำบากมากคือ การถูกใช้ทำงานตามนโยบายประชานิยม กับการเสียสละตามอุดมการณ์ โดยพร้อมถูกคนไข้ฟ้อง โดยในอีกด้าน นักธุรกิจการเมืองต่างขนเงินซื้อหุ้นของกิจการธุรกิจรักษาพยาบาล จากการตั้งหมายไว้ว่า “ไทยจะเป็น Medical Hub แล้ว” เช่นนี้ แพทย์กับพยาบาลของรัฐ ก็ต้องหายหมดไปในระบบการรักษาตามระบบของหลวงและรัฐ ตามอุดมการณ์และมาตรฐานวิชาชีพ ในเวลาไม่ช้าไม่นาน
ทั้งนี้เหตุจากการที่เรา มักทำอะไรไม่เป็นระบบและขาดบูรณาการ กับก่อความเสียหายมากกว่าสร้างชาติ ด้วยเหตุนี้เอง จึงคาดคะเนได้ว่า จะเกิดภัยมืดตามมาจาการขึ้นเงินเดือนคนจบใหม่ โดยคนเก่าภายในจะถูกกระทบ น้อยใจและตีจากไปจำนวนมากมายและจะหายจากไปอย่างรวดเร็ว
เพียงเมื่อนึกขึ้นได้ว่า AEC หรือการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน กำลังเปิดโอกาสให้บุคลากรของไทยได้รับค่าจ้างคุ้มค่าได้
การลาออกไปหาเงินก้อนโตกับกิจการใหม่ของต่างชาติ จึงดีกว่าต้องมากินน้ำใต้ศอกของเด็กอมมือเมื่อวันวาน
ธงชัย สันติวงษ์
Sunday, January 15, 2012
“เงินช่วยน้ำท่วม”-“เงินเดือนคนจบใหม่” อย่างไหนต้องไวกว่า


0 comments:
Post a Comment