เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 19 ม.ค. พ.ต.ท.ผดุงศักดิ์ ซื่อกำเนิด สวส.สภ.เมืองระยอง รับแจ้งมีเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มศูนย์ข่าวเดลินิวส์ภาคตะวันออกเลข ที่ 960/5 ริมถนนสุขุมวิท ตำบลเชิงเนิน รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.มานะ อินพิทักษ์ ผกก. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสายตรวจ ที่เกิดเหตุอยู่ตรงข้ามซอยสองพี่น้อง ที่บริเวณหน้าศูนย์ข่าวเดลินิวส์ พบรถกระบะนิสสัน สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บท-8837 ระยอง ของผู้สื่อข่าวจอดอยู่ โดยกระจกหลังโดนกระสุนปืนแตก 4 รู บนถนนหน้าศูนย์พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ 1 ปลอก และปลอกกระสุนอาก้าอีก 16 ปลอก รวมทั้งหมด 17 ปลอกตกอยู่ริมถนนจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากนั้นเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบภายในศูนย์ข่าวฯ พบว่ากระจกหน้าสำนักงาน หลอดไฟ โทรทัศน์ กระจกหน้าห้องหัวหน้าศูนย์ถูกกระสุนปืนเป็นรูพรุนทั่วบริเวณ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ ถูกกระสุนปืนพังเสียหายยังเยิน กระจกแตกกระจายเกลื่อน ฝาพนังห้องเป็นรูพรุนเหมือนรังผึ้ง เจ้าหน้าที่จึงนำเชือกมากั้นพร้อมกับกันผู้ไม่เกี่ยวข้อง เข้าไปในที่เกิดเหตุ เนื่องจากเกรงจะไปทำลายหลักฐาน พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบ
จากการสอบสวนนายกฤษณภาพ แตงเพชร์ อายุ 45 ปี ผู้สื่อข่าวประจำศูนย์ที่เข้าเวรวันเกิดเหตุให้การว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังนอนหลับอยู่ในศูนย์ จากนั้นต้องสะดุ้งตกใจตื่น เมื่อได้ยินเหมือนเสียงประดังสนั่น พร้อมกับได้ยินเสียงน้ำยาเครื่องปรับอากาศในสำนักงานดัง และมีน้ำยาแอร์รั่วฟุ้งกระจาย ข้าวของเครื่องใช้ กระจกแตกพังเสียหาย ตนเลยรีบเปิดประตูด้านหลังออก เพื่อระบายอากาศ พอเดินออกไปหน้าศูนย์พบกระจกถูกกระสุนปืนเป็นรูพรุน เลยรีบโทรแจ้งตำรวจทราบดังกล่าว
จากนั้น พ.ต.อ.มานะได้เรียกเจ้าของร้านกวยเตี๋ยว ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามศูนย์มาสอบถามโดยพยานระบุว่า ขณะเกิดเหตุพยานกำลังเก็บร้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนดังสนั่น พอหันไปดูเห็นรถยนต์จอดอยู่หน้าศูนย์แต่มองไม่เห็นคนร้าย พ.ต.อ.มานะจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่นำกล้องวงจรปิด บนถนนสุขุมวิทและบริเวณในที่เกิดเหตุและใกล้เคียงไปตรวจสอบ
ต่อมาเวลา 08.30 น. พ.ต.อ.เชษฐา โกมลวรรธนะ รอง ผบก.ภ.จว.ระยอง พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.ระยอง เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าคนร้ายขับรถกระบะอีซูซุ ดีแม็ก สีขาว ไม่ทราบทะเบียนขับมาจอดหน้าศูนย์ จากนั้นคนร้ายที่นั่งข้างคนขับได้ลดกระจกลง พร้อมกับใช้ปืนกราดยิงใส่รถกระบะของผู้สื่อข่าวที่จอดอยู่หน้าศูนย์อาคาร สำนักงาน ก่อนจะเร่งเครื่องหลบหนีไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายมีด้วยกัน 2 คน ขับรถมาจอดหน้าศูนย์ จากนั้นใช้ปืนขนาด 9 มม.ยิงใส่รถของผู้สื่อข่าวที่จอดอยู่หน้าศูนย์เป็นชุดแรก ต่อด้วยปืนอาก้ายิงถล่มสำนักงานเป็นชุดที่ 2 แต่โชคดีที่ผู้สื่อข่าวประจำศูนย์กำลังนอนหลับ เลยรอดคมกระสุนไปได้อย่างหวุดหวิด มีเพียงทรัพย์สินเสียหายเท่านั้น ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ต่อมา พล.ต.ต.โกศล พัวเวส รอง ผบช.ภ2 เดินทางมาดูที่เกิดเหตุพร้อมกับเปิดเผยว่า คดีนี้ถือว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ และคนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ตนสั่งให้ฝ่ายสืบสวนหาข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมกับสอบสวนผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์ ว่าสาเหตุมาจากการเสนอข่าวหรือเป็นเรื่องส่วนตัว และสั่งเร่งจับกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะแม้กระทั่งสื่อมวลชนยังไม่เว้น
ด้านนายพัชรพล ปานรักษ์ รักษาการหัวหน้าศูนย์ข่าวเดลินิวส์ภาคตะวันออกเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุตนได้สอบถามผู้สื่อข่าวและลูกน้องในศูนย์ทุกคน ต่างระบุตรงกันว่าไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นกับใคร ทำให้เชื่อว่าสาเหตุคนร้ายยิงถล่มศูนย์ครั้งนี้ น่ามาจากการเสนอข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ผู้สูญเสียผลประโยชน์โกรธแค้น เลยส่งลูกน้องมายิงถล่มสำนักงานเพื่อขู่และสั่งสอน อย่างไรก็ตามเราจะเสนอข่าวเพื่อความถูกต้อง ตามสโลแกนของเรา “อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์” และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ บ้านเมืองและประชาชนต่อไป
วันเดียวกันสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจแก่สื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคนที่ก่อเหตุได้กระทำการด้วยความอุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยมุ่งหวังให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในกลุ่มสื่อมวลชน ทั้งในพื้นที่ส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ทางสมาคมฯขอประณามการกระทำของคนร้าย และผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง ให้ความสนใจคดีการคุมคามสื่อครั้งนี้ โดยเร่งจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ที่มีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงให้มีมาตรการในการดูแลและสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อชีวิต และทรัพย์สินทั้งของสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปด้วย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเห็นว่า เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนในวง การข่าวอย่างยิ่ง เพราะคนร้ายได้กระทำการอย่างอุกอาจ และเตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ขณะเดียวกันก็มุ่งข่มขวัญปิดปากสื่อมวลชน ที่จะทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอประณามการกระทำของคนร้ายและผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง ขณะเดียวกันขอเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 2 ให้เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปอีกเหมือนคดีอื่นๆที่ผ่านมา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน รวมทั้งขอให้แถลงผลความคืบหน้าคดีต่อสาธารณชนทราบโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคมไทย.